บทที่ 4 การประเมินตามสภาพจริง การประเมินจากแฟ้มสะสมงาน และการประเมินภาคปฎิบัติ
บทที่ 4 การประเมินตามสภาพจริง การประเมินจากแฟ้มสะสมงาน และการประเมินภาคปฎิบัติ
ความหมาย
การประเมินสภาพจริงเป็นการประเมินจากการปฏิบัติงานหรือกิจกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยงาน หรือกิจกรรมที่มอบหมายให้ผู้ปฏิบัติ จะเป็ นงานหรือสถานการณ์ที่เป็นจริงหรือใกล้เคียงกับชีวิตจริง จึงเป็น งานที่มีสถานการณ์ซับซ้อนและเป็นองค์รวมมากกว่างานปฏิบัติในกิจกรรมการเรียนทั่วไป แนวคิดและหลักการของการประเมินผลตามสภาพจริง
1. ไม่เน้นการประเมินทักษะพ้ืนฐานแต่เนน้การประเมินทักษะการคิดที่ซับซ้อนในการทำงาน ความร่วมมือในการแก้ปัญหาและการประเมินตนเองทั้งภายในและภายนอกห้องเรียน
2.เป็นการวัดและประเมินความก้าวหน้าของผู้เรียน
3. เป็นการสะท้อนให้เห็นการสังเกตสภาพงานปัจจุบัน ของผู้เรียน และสิ่งที่ผู้เรียนได้ปฏิบัติจริง
4. เป็นการให้ความสำคัญกับงานที่เป็นจริงโดยพิจารณาจากงานหลาย ๆ ชิ้น
5. ผู้ประเมินควรมีหลายคน มีการประชุมกันเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับตัวผู้เรียน
6. การประเมินต้องดำเนินการไปพร้อมกับการจัดการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง
7. นำการประเมินตนเองมาใช้เป็นส่วนหนึ่งของการประเมินตามสภาพที่แท้จริง
8.ควรมีการประเมินทั้งการประเมินที่เน้นการปฏิบัติจริง และการประเมินจากแฟ้มสะสมงาน
ลักษณะสำคัญของการวัดและการประเมินผลจากสภาพจริง
1. ใช้วิธีการประเมินกระบวนการคิดที่ซับซ้อน ความสามารถในการปฏิบัติงาน ศักยภาพของผู้เรียน มากกว่าที่จะประเมินว่าผู้เรียนสามารถจดจำความรู้อะไรได้บ้าง
2. เป็นการประเมินความสามารถของผู้เรียน เพื่อวินิจฉัยผู้เรียนในส่วนที่ควรส่งเสริมและส่วนที่ควร แก้ไขปรับปรุง เพื่อให้ผู้เรียนได้พัฒนาอย่างเต็มศักยภาพตามความสามารถ ความสนใจและความต้องการ ของแต่ละบุคคล
3. เป็นการประเมินที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมประเมินผลงานของทั้งตนเองและของเพื่อน ร่วมห้อง เพื่อส่งเสริมให้ผู้เรียนรู้จักตัวเอง เชื่อมั่นตนเอง สามารถพัฒนาข้อมลูได้
4. ข้อมูลที่ประเมินได้จะต้องสะท้อนให้เห็นถึงกระบวนการจัดการเรียนรู้และการวางแผนการสอน ว่าสามารถตอบสนองความสามารถ ความสนใจ และความต้องการของผู้เรียนแต่ละบุคคลได้หรือไม่
5. ประเมินความสามารถของผู้เรียนในการถ่ายโอนการเรียนรู้ไปสู่ชีวิตจริงได้
6. ประเมินด้านต่าง ๆ ด้วยวิธีที่หลากหลายในสถานการณ์ต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง
ขั้นตอนการประเมินตามสภาพจริง
1. กำหนดวัตถุประสงค์และเป้าหมายในการประเมิน ต้องสอดคล้องกับสาระ มาตรฐานจุดประสงค์ การเรียนรู้และสะท้อนการพัฒนาด้วย
2. กำหนดขอบเขตในการประเมิน ต้องพิจารณาเป้าหมายที่ต้องการให้เกิดกับผู้เรียน เช่น ความรู้ ทักษะและกระบวนการ ความรู้สึก คุณลักษณะ เป็นต้น
3. กำหนดผู้ประเมิน โดยพิจารณาผู้ประเมินว่าจะมีใครบ้าง เช่น ผู้เรียนประเมินตนเอง เพื่อนผู้เรียน ครูผู้สอน ผู้ปกครองหรือผู้ที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น
4. เลือกใช้เทคนิคและเครื่องมือในการประเมินควรมีความหลากหลายและเหมาะสมกับวัตถุประสงค์ วิธีการประเมิน เช่น การทดสอบ การสังเกต การสัมภาษณ์ การบันทึกพฤติกรรม แบบสำรวจ ความคิดเห็น บันทึกจากผู้ที่เกี่ยวข้อง แฟ้มสะสมงาน ฯลฯ
5. กำหนดเวลาและสถานที่ที่จะประเมิน เช่น ประเมินระหว่างผู้เรียนทำกิจกรรม ระหว่างทำงานกลุ่ม / โครงการ วันใดวันหนึ่งของสัปดาห์ เวลาว่าง / พักกลางวัน ฯลฯ
6. วิเคราะห์ผลและวิธีการจัดการข้อมูลการประเมิน เป็นการนำข้อมูลจากการประเมินมาวิเคราะห์ โดยระบุสิ่งที่วิเคราะห์เช่น กระบวนการทำงาน เอกสารจากแฟ้มสะสมงาน ฯลฯรวมทั้งระบุวิธีการบันทึก ข้อมูลและวิธีการวิเคราะห์ข้อมูล
7. กำหนดเกณฑ์ในการประเมิน เป็นการกำหนดรายละเอียดในการให้คะแนนผลงานว่าผู้เรียนทำ อะไร ได้สำเร็จหรือว่ามีระดับความสำเร็จในระดับใด คือ มีผลงานเป็นอย่างไร การให้คะแนนอาจจะให้ในภาพรวมหรือแยกเป็นรายให้สอดคล้องกับงานและจุดประสงค์การเรียนรู้
อาจกล่าวสรุปได้ว่าการประเมินตามสภาพจริงเป็นข้ันตอนที่ครูและผู้เรียนร่วมกันกำหนด ผลสัมฤทธ์ิที่ต้องการโดยวิเคราะห์จากหลักสูตรและความต้องการของผู้เรียนมีแนวทางของงานที่ปฏิบัติ กำหนดกรอบและวิธีการประเมินร่วมกันระหว่างผู้ประเมินและผู้ถูกประเมิน
เทคนิค / วิธีการที่ใช้ในการประเมินตามสภาพจริง
การประเมินตามสภาพจริงเป็นการกระท า การแสดงออกหลาย ๆ ด้าน ของผู้เรียนตามสภาพความ เป็นจริงทั้งในและนอกหอ้งเรียน มีวิธีการประเมินโดยสังเขปดังน้ี
1. การสังเกต เป็นวิธีการที่ดีมากวิธีหนึ่ งในการเก็บข้อมูลพฤติกรรมด้านการใช้ความคิด การปฏิบัติงาน และโดยเฉพาะด้านอารมณ์ ความรู้สึก และลักษณะนิสัยสามารถทำได้ทุกเวลา ทุกสถานที่ทั้งใน ห้องเรียน นอกห้องเรียน หรือในสถานการณ์อื่นนอกโรงเรียน เครื่องมืออื่น ๆ ที่ใช้ประกอบการสังเกต ได้แก่ แบบตรวจสอบรายการ แบบมาตราส่วนประมาณค่าแบบบันทึกระเบียนสะสมเป็นต้น
2. การสัมภาษณ์ เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ใช้เก็บข้อมูลพฤติกรรมด้านต่างได้ดี เช่น ความคิด (สติปัญญา) ความรู้สึกกระบวนการข้นั ตอนในการทา งาน วิธีแก้ปัญหาฯลฯอาจใช้ประกอบการสงัเกตเพื่อใหได้ข้อมูล ที่มั่นใจมากยิ่งขึ้น ก่อนสัมภาษณ์ควรหาข้อมูลเกี่ยวกับภูมิหลังของผู้เรียนก่อนเพื่อทำให้การสัมภาษณ์ตรงประเด็นและ ได้ข้อมูลยิ่งขึ้น ควรเตรียมชุดคำถามล่วงหน้าและจัดลำดับคำถามช่วยให้การตอบไม่วกวนขณะสัมภาษณ์ครู ใช้วาจา ท่าทาง น้ำเสียงที่อบอุ่นเป็นกัน เอง ทำ ให้ผู้เรียน เกิดความรู้สึกปลอดภัยและแนวโน้มให้ผู้เรียนอยาก พูด / เล่า ใช้คำถามที่ผู้เรียนเข้าใจง่ายและครูอาจใช้วิธีสัมภาษณ์ทางอ้อมคือ สัมภาษณ์จากบุคคลที่ใกล้ชิด ผู้เรียน เช่น เพื่อนสนิท ผู้ปกครอง เป็นต้น
3. การตรวจงาน เป็นการวัดและประเมินผลที่เน้นการนำผลการประเมินไปใช้ทันทีใน 2 ลักษณะ คือ เพื่อการช่วยเหลือผู้เรียนและเพื่อปรับปรุงการสอนของครู จึงเป็นการประเมินที่ควรดำเนินการตลอดเวลา เช่น การตรวจแบบฝึกหัด ผลงานภาคปฏิบิตัโครงการ/โครงงานต่างๆ เป็นต้น งานเหล่านี้ควรมีลักษณะที่ครู สามารถประเมินพฤติกรรมระดับสูงของผู้เรียนได้ เช่น แบบฝึกหัดที่เน้นการเขียนตอบ เรียบเรียง สร้างสรรค์ งาน โครงการ โครงงาน ที่เน้นความคิดข้ันสูงในการวางแผนจัดการดำเนินการและแก้ปัญหาสิ่งที่ควร ประเมินควบคู่ไปด้วยเสมอในการตรวจงาน คือ ลักษณะนิสัยและคุณลักษณะที่ดีในการทำงาน ซึ่งครูควรมี ความยืดหยุ่น การประเมิน จากการตรวจงานมากขึ้น ดังนี้
(1)ไม่จำเป็นต้องนำชิ้นงานทุกชิ้นมาประเมิน อาจเลือกเฉพาะชิ้นงานที่ผู้เรียนทำได้ดีและ บอกความหมาย / ความสามารถของผู้เรียนตามลกัษณะที่ครูต้องการประเมินได้วิธีนี้เป็นการเน้น “จุดแข็ง” ของผู้เรียน นับเป็นการเสริมแรง สร้างแรงกระตุ้นให้ผู้เรียนพยายามผลิตงานที่ดีๆ ออกมามากขั้น
(2)จากแนวคิดตามขอ้ 1 ชิ้นงานที่หยิบ มาประเมินของแต่ละคน จึงไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องเดียวกัน เช่น ผู้เรียนคนที่1งานที่ (ทำได้ดี)ควรหยิบ มาประเมินอาจเป็นงานชิ้นที่2, 3, 5 ส่วนผู้เรียนคนที่ 2 งานที่ควรหยิบ มาประเมินอาจเป็นงานชิ้นที่1,2,4เป็นต้น
(3)อาจประเมินชิ้นงานที่ผู้เรียนทำนอกเหนือจากที่ครูกำหนดให้ก็ได้แต่ต้องมั่นใจว่าเป็น สิ่งที่ผู้เรียนทำเองจริง ๆ เช่น สิ่งประดิษฐ์ที่ผู้เรียนทำเองที่บ้าน และน ามาใช้ที่โรงเรียนหรืองานเลือกต่าง ๆ ที่ ผู้เรียนทา ขั้นเองตามความสนใจ เป็นต้น การใช้ข้อมูล/ หลักฐานผลงานอย่างกว้างขวาง จะทำให้ครูรู้จัก ผู้เรียนมากขึ้น และประเมินความสามารถของผู้เรียนตามสภาพที่แท้จริงของเขาได้แม่นยำยิ่ง ขึ้น
(4) ผลการประเมิน ไม่ควรบอกเป็นคะแนนหรือระดับคุณภาพ ที่เป็นเฉพาะตัวเลขอย่าง เดียวแต่ควรบอกความหมายของผลคะแนนนั่นด้วย
4. การรายงานตนเอง เป็นการให้ผู้เรียนเขียนบรรยายหรือตอบคา ถามสั้น ๆ หรือ ตอบแบบสอบถาม ที่ครูสร้างขั้น เพื่อสะท้อนถึงการเรียนรู้ของผู้เรียนทั้งความรู้ความเข้าใจ วิธีคิดวิธีทา งานความพอใจใน ผลงาน ความต้องการพัฒนาตนเองให้ดียิ่งขึ้น
5.การใช้บันทึกจากผู้ที่เกี่ยวข้อง เป็นการรวบรวมข้อมูลความคิดเห็นที่เกี่ยวข้องกับตัวผู้เรียนผลงาน ผู้เรียน โดยเฉพาะความก้าวหน้าในการเรียนรู้ของผู้เรียนจากแหล่งต่าง ๆ เช่น จากเพื่อนครู – โดยประชุม แลกเปลี่ยนข้อมูลความคิดเห็นเกี่ยวกับการเรียนรู้ของผู้เรียน
จากเพื่อนผู้เรียน –โดยจัด ชั่วโมงสนทนาวิพากษผ์ลงาน (ผู้เรียนต้องได้รับคำแนะนำมาก่อนเกี่ยวกับ หลักการ วิธีวิจารณ์เพื่อการสร้างสรรค์)
จากผู้ปกครอง –โดยจดหมาย / สารสัมพันธ์ที่ครู หรือโรงเรียนกับผู้ปกครองมีถึงกันโดยตลอดเวลา โดยการประชุมผู้ปกครองที่โรงเรียนจัดข้ึน หรือโดยการตอบแบบสอบถามสั้น ๆ
6. การใช้ข้อสอบแบบเน้นการปฏิบัติจริง ในกรณีที่ครูต้องการใช้แบบทดสอบ ขอเสนอแนะให้ใช้ แบบทดสอบภาคปฏิบตัิที่เน้นการปฏิบตัิจริง ซ่ึงมีลกัษณะดังต่อไปน้ี
(1) ปัญหาต้องมีความหมายต่อผู้เรียน และมีความสำคัญเพียงพอที่จะแสดงถึงภูมิความรู้ ของผู้เรียนในระดับชั้นนั้น ๆ
(2) เป็นปัญหาที่เลียนแบบสภาพจริงในชีวิตของผู้เรียน
(3) แบบสอบตอ้งครอบคลุมทั้งความสามารถและเน้ือหาตามหลักสูตร
(4)ผู้เรียนต้องใช้ความรู้ความสามารถ ความคิดหลาย ๆ ด้านมาผสมผสาน และแสดงวิธีคิด ได้เป็นขั้น ตอนที่ชัดเจน
(5)ควรมีคำตอบถูกได้หลายคำตอบ และมีวิธีการหาคำตอบได้หลายวิธี
(6) มีเกณฑ์การให้คะแนนตามความสมบูรณ์ของคำตอบอย่างชัดเจน
7. การประเมินโดยใช้แฟ้มสะสมงาน แฟ้มสะสมงานหมายถึง สิ่งที่ใช้สะสมงานของผู้เรียนอย่างมี จุดประสงค์อาจเป็นแฟ้ม กล่องแผ่นดิสก์อัลบัม ฯลฯ ที่แสดงให้เห็นถึงความพยายาม ความก้าวหน้า และ ผลสัมฤทธ์ิในเรื่องน้ันๆ หรือหลาย ๆ เรื่องการสะสมน้ันผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเลือกเน้ือหา เกณฑ์การเลือก เกณฑ์การตัดสิน ความสามารถ / คุณสมบัติ หลักฐานการสะท้อนตนเอง การประเมินผลโดยใช้แฟ้ มสะสมงานเป็นวิธีการประเมินผลการเรียนรู้ตามสภาพจริงที่ได้รับความ นิยมกันอย่างแพร่หลายวิธีหนึ่ง เพราะใช้การประเมินให้ผูกติดอยู่กับการสอนและมีผู้เรียนเป็ นศูนย์กลางของ การจัดการเรียนรู้ที่ชัดเจนและการที่จะได้มาซึ่งผลการเรียนรู้ที่แท้จริงของผู้เรียน ครูควรใช้วิธีการเก็บข้อมูล หลายๆ วิธีผสมผสานกัน เพื่อให้ได้ข้อมูลที่หลากหลาย ครอบคลุมพฤติกรรมทุกด้านและมีจำนวนมากเพียง พอที่จะประเมินผลที่เกิดข้ึนในตัวผู้เรียนอย่างมั่นใจหลักเกณฑ์วิธีการให้คะแนนตามแนวทางการประเมิน ตามสภาพจริง กล่าวโดยสรุป วิธีการให้คะแนนตามแนวประเมินตามสภาพจริง เน้นที่การให้ข้อมูลที่สามารถบ่งช้ี ถึงความสำเร็จหรือความรอบรู้ของผู้เรียนว่ามีลักษณะอย่างไรและความสำเร็จหรือความรอบรู้ในระดับที่ แตกต่างกันนั้น มีลัษณะแตกต่างกันอย่างไร ไม่ใช่ให้ความหมายเพียงแค่การได้/ ตก หรือ ผ่าน / ไม่ผ่าน หรือระดับของการผ่านเท่านั้น นอกจากน้ีการนำ ผลประเมินไปใช้ประโยชน์ด้านการตัดสินผลการเรียนก็มี ความสำคัญเป็นอันดับรองจากการนำไปใช้เพื่อพัฒนาผู้เรียนและตัวคร
สรุป การประเมินสภาพจริง เป็นการประเมินที่เน้นให้ผู้เรียนปฏิบัติ ถ้าสามารถปฏิบัติได้ในสถานการณ์ จริงจะดีมาก แต่ถ้าไม่ได้ อาจใช้สถานการณ์จำลองที่พยายามให้เหมือนจริงมากที่สุด หรืออาจจะให้ผู้เรียน ไปปฏิบัตินอกห้องเรียน หรือที่บ้าน แล้วเก็บผลงานไว้ โดยอาจจะเก็บไว้ในแฟ้มสะสมงาน แล้วครูเรียกมา ประเมินภายหลัง สถานการณ์ที่ประเมินควรเป็นสถานการณ์ที่ประเมินผู้เรียนได้หลายมิติ เช่น ทักษะ ความรู้ ความสามารถ การคิด และคุณลักษณะต่าง ๆ วิธีการที่ใช้ประกอบการประเมินตามสภาพจริงควรมี หลากหลายประกอบกัน เช่น การสังเกต การสัมภาษณ์ การตรวจงาน การรายงานตนเองของผู้เรียน การบันทึกจากผู้ที่เกี่ยวข้อง การใช้ข้อสอบแบบเน้นการปฏิบัติจริง การประเมินโดยใช้แฟ้มสะสมงาน การให้คะแนนการประเมินตามสภาพจริง มี 2 แนวทางคือ การประเมินในลักษณะภาพรวม และ การประเมินในลักษณะการวิเคราะห์ส่วนย่อย หัวใจสำคัญ ของการประเมินตามสภาพจริง คอื ต้องสอน และให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากสภาพจริง
Your Affiliate Money Making Machine is waiting -
ตอบลบAnd making money with it is as simple as 1---2---3!
Here's how it all works...
STEP 1. Tell the system what affiliate products the system will promote
STEP 2. Add PUSH BUTTON TRAFFIC (it LITERALLY takes 2 minutes)
STEP 3. See how the system grow your list and sell your affiliate products for you!
Are you ready to make money automatically??
Click here to start running the system